แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ http://seeddy.150m.com/Homework%203.html แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ http://seeddy.150m.com/Homework%203.html แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

คำถามทบทวนบทที่ 6



1. ระบบเครือข่ายสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์มีอิทธิพลต่อการพัฒนา และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจอย่างไร

ตอบ  พัฒนาการของระบบเครือข่ายสื่อสาร ช่วยให้การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินงานขยายตัวซับซ้อนและครอบคลุมมากขึ้น ปัจจุบันการจัดการและประมวลผลข้อมูลมิได้จำกัดตัวอยู่ที่ส่วนหนึ่งขององค์การ หน่อยงานต่าง ๆ สามารถใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ระบบเทศโนโลยีระบบเครือข่ายยังสร้างเอกภาพ ความถูกต้องความทันสมัย และความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้ระบบเครือข่ายสามารถใช้สารสนเทศที่มีคุณภาพร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างประโยชน์สูงสุดแก่องค์การ

2. ระบบเครือข่ายแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ ระบบเครือข่ายแบ่งอกเป็น 4 ชนิด
1. ระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่
2. ระบบเครือข่ายเขตเมือง
3. ระบบเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่
4. ระบบเครือข่ายระหว่างประเทศ

3.ระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ (LAN)และระบบเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่(WAN)มีความ แตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ ( LAN) เป็นระบบที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อย่าระยะใกล้เข้าด้วยกัน เช่น ภายในหน่วยงานอาคาร หรือสถาบันเดียวกัน เป็นต้นส่วนระบบเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ (WAA)เป็นระบบเครือข่ายที่ต่อเชื่อมและครอบคลุมพื้นที่กว้างพอสมควร เช่น รอบเมือง หรือรอบจังหวัด การติดต่อสื่อสารมักจะใช้แก้วนำแสง ลวดทองแดง วิทยุ และโทรศัพท์ มาเป็นสื่อกลางสำหรับอุปกรณ์รับส่งข้อมูลตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และต้นทุนการดำเนินงาน

4. จงเปรียบเทียบคุณสมบัติและประสิทธิภาพของช่องทางการสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ตอบ ช่องทางสื่อสารข้อมูล มี 2 ชนิดคือ การสื่อสารแบบมีสายและระบบสื่อสารแบบไร้สายการสื่อสารแบบมีสายเป็นการสื่อสารข้อมูลผ่านสายนำสัญญาณ คือ สายโทรศัพท์ เป็นต้นระบบสื่อสารแบบไร้สาย เป็นการสื่อสารโดยการแปรรูปสัญญาณและส่งสัญญาณผ่านในอากาศ โดยไม่มีสายนำสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สื่อสาร ปัจจุบันระบบสื่อสารแบบไร้สายที่ได้รับความนิยม

5. รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายแบ่งออกเป็นกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายมี 4 แบบ
1. โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology)
2. โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology )
3. โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology )
4. โทโปโลยีแบบผสม (Hybridge Topology)

6. ช่องทางการติดต่อสื่อสารแบ่งออกเป็นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ตอบ ช่องทางการติดต่อสื่อสารแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
1. การสื่อสารแบบมีสาย (Wired Trasmission Systsms)
-    สายเกลียวคู่หรือสายโทรศัพท์ (Twisted Pair)
-    สายโคแอกเซียล (Coaxiai Cable)
-    สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic)
2. ระบบสื่อสารแบบไร้สาย (Wieless Transmission Systsms)
- คลื่นสั้น (Microwave)
- ดาวเทียม (Satellite Systsms)

7. สายเกลียวคู่หรือสายโทรศัพท์ สายโคแอกเซียม และสายใยแก้วนำแสง มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ สายเกลียวคู่หรือสายโทรศัพท์ (Twisted Pair) ประกอบด้วยเส้นลวด 2 เส้นพันกันเป็นเกลียว โดยมีฉนวนห่อหุ้มเส้นลวดเกลียวคู่แต่ละไว้ เหตุที่เส้นลวดพันกันเป็นเกลียดก็เพื่อลดเสียงรบกวน การส่งข้อมูลด้วยสายเกลียวคู่นี้มักเป็นการส่งสัญญาเสียงสายโคแอกเซียล มีลักษณะเป็นสายทรงกระบอกที่ทำด้วยทองแดง และมีลวดตัวนำอยู่ตรงกลางระหว่างลวดตัวนำและทองแดงมีฉนวนห่อหุ้มโคแอกซ์ สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วสายใยนำแก้ว มีลักษณะเป็นเส้นบาง ๆ คล้ายเส้นใยแก้ว โดยข้อมูลจะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณแสงและส่งผ่านตามเส้นใยด้วยความเร็วแสง จึงทำให้เส้นใยนำแสงสามารถส่งข้อมูลจำนวนมกได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน ทนทาน

8. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญาณแบบแอนะล็อกับสัญญาณแบบดิจิตอล
ตอบ สัญญาณแบบแอนะล็อก จะเป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง ระดับของสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงสูงหรือต่ำอย่างต่อเนื่อง ที่ทุกๆ ค่าเปลี่ยนแปลงไปของระดับสัญญาณจะมีความหมายสัญญาณแบบดิจิตอล จะประกอบขึ้นจากระดับสัญญาณเพียงสองค่า คือสัญญาณระดับสูงและสัญญาณระดับต่ำสุด ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงกว่าแอนะล็อก

คำถามทบทวนบทที่ 5


บทที่ 5 ระบบฐานข้อมูล

1.  เราสามารถจำแนกการจัดการแฟ้มข้อมูลออกเป็นกี่แบบ อะไรบ้าง?
ตอบ    2 แบบ  คือ
1 . การจัดการแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ  (sequential  File  Organization)
2 . การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม  (Random  File  Organization  )

2.  จงอธิบายความหมาย ตลอดจนข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม
ตอบ      - การเข้าถึงข้อมูลแบบรวดเร็ว  เนื่องจากผู้ใช้สามารถ เข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง  ไม่ต้องผ่านแฟ้มข้อมูลอื่น เหมือนการจัดการแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ
- สะดวก ในการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย  เนื่องจากการปรับ ปรุงข้อมูลทำได้โดยง่าย  ไม่จำเป็นจะต้องเรียงลำดับ หรือรอเวลา
- มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงาน  ที่ต้องการประมวลผลแบบโต้ตอบ ตลอด จนมีระยะเวลาในการประมวลผลไม่แน่นอน
  แต่วิธีการจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่มจะมีข้อจำกัดดังตอบไปนี้
-ข้อมูล มีโอกาสผิดพลาดและสูญหาย  เนื่องจากการดำเนินงานมี ความยืดหยุ่น  ถ้าขาดการจัดการที่เป็นระบบละมี ประสิทธิภาพ  อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บ  ความถูกต้องและความแน่นอนของแฟ้มข้อมูล

3.  ฐานข้อมูลคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน?
ตอบ    ฐาน ข้อมูล  (Database)  หมาย ถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีแบบแผน  ณ  ที่ใดที่หนึ่งในองค์การ  เพื่อ ที่ผู้ใช้จะสามารถนำข้อมูลมาประมวลผล  และประยุกต์ ใช้งานตามที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

4.  เราสามารถจำแนกแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลเชิงตรรกะออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง?
ตอบ  3 ประเภท  คือ
1 . แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงลำดับขั้น (Hiearchical  Data  Model )
2 . แบบจำลองการจัดข้อมูลแบบเครือข่าย(Network  Data  Model  )
3 . แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงสัมพันธ์  (Relational  Data  Model  )

5.  จงเปรียบเทียบประโยชน์ในการใช้งานของแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลแต่ละประเภท?
ตอบ      5.1. ชนิดของแบบจำลอง
เชิงลำดับขั้น    เครือข่าย          เชิงสัมพันธ์
             5.2. ประสิทธิภาพการทำงาน
สูง       ค่อน ข้างสูง      ต่ำ (กำลังพัฒนา)
            5.3. ความยืดหยุ่น
ต่ำ         ค่อน ข้างต่ำ       สูง หรือต่ำ
            5.4. ความสะดวกต่อการใช้งาน
 ต่ำ         ปานกลาง        สูง

6.  ระบบจัดการฐานข้อมูลคืออะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
ตอบ  ระบบจัดการฐานข้อมูล  หมายถึง  ชุดคำสั่งซึ่งทำหน้าที่ สร้าง ควบคุม  และดูแลระบบ ฐานข้อมูล   เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล  คัดเลือกข้อมูล  และสามารถนำ ข้อมูลนั้นมาใช้งานไดอย่างมีประสิทธิภาพ  โดย ที่  DBMS จะทำหน้าที่เสมือน ตัวกลางระหว่างชุดคำสั่งสำหรับการใช้งานต่างๆ  กับ หน่วยเก็บข้อมูล  ซึ่ง DBMS ประกอบ ด้วยส่วนประกอบหลักที่สำคัญอยู่  3ส่วน คือ
1 . ภาษาสำหรับนิยามข้อมูล (Data  Definifion  Language ;DDL  )
2 . ภาษาสำหรับการใช้ข้อมูล  ( Data Manipuiation  Language; DML  
3 . พจนานุกรมข้อมูล  (Data  Dictionary  )

7. จงอธิบายความหมายและประโยชน์ของพจนานุกรมข้อมูล
ตอบ  ผู้ที่ ต้องเกี่ยวข้องกับระบบจัดการฐานข้อมูล  เพราะจะช่วย ให้สามารถศึกษาและทำความเข้าใขระบบได้ง่าย

8.  นักบริหารฐานข้อมูลมีหน้าที่สำคัญอะไรบ้าง?
ตอบ        1. กำหนดและจัดระเบียบโครงสร้างฐานข้อมูล
 2 . พัฒนาขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูล
 3 . จัดทำหลักฐานข้อมูลให้ทำงานอย่างปกติ
 4 . ดูแลรักษาระบบฐานข้อมูลทำงานอย่างปกติ
 5 . ประสานงานกับผู้ใช้

9. เหตุใดบางองค์การจึงต้องมีหัวหน้างานด้านสารสนเทศ (CIO) และ CIO มีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างไร?
ตอบ   เพื่อ ความคล่องตัวในการบริหารงานและการให้บริการด้านข้อมูลสารสนเทศ  การที่องค์การเลือกใช้วิธีการจัดหน่วยงานบริหารข้อมูลแบบ ใด  ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน  และปัจจัยแวดล้อมเป็นสำคัญ

10.  จงอธิบายแนวโน้มของเทคโนโลยีฐานข้อมูลในอนาคต
ตอบ  ระบบ ฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์  (Centralized Database System)”ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจาก ความสะดวกในการจัดการและคุณสมบัติของเทคโนโลยี   ทำ ให้ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาขึ้นตามลำดับ

คำถามทบทวนบทที่ 4


บทที่ 4 การพัฒนาระบบสารสนเทศ               

1.  ผู้ใช้มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างไรบ้าง ?


ตอบ       ตั้งแต่เริ่มที่จะพัฒนาระบบใหม่ให้กับองค์การ โดยบุคคลหรือกลุ่มควรที่จะมีการพัฒนาระบบหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน ผู้พัฒนาระบบ เพื่อให้การพัฒนาระบบใหม่สำเร็จด้วยดีทั้งในด้านงบประมาณ กรอบของระยะเวลา และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ


2.   ปัจจัยที่ช่วยให้การพัฒนาระบบสารสนเทศประสบความ

สำเร็จมีอะไรบ้าง?

ตอบ           1. ผู้ใช้ระบบ
                            
                 2. การวางแผน
                    3. การทดสอบ
                                4. การจัดเก็บเอกสาร
                        
                    5. การเตรียมความพร้อม
                    6. การตรวจสอบและประเมินผล
                                7. การบำรุงรักษา
                    
                    8. อนาคต


3.  หน้าที่สำคัญของนักวิเคราะห์ระบบในการพัฒนาระบบ

สารสนเทศมีอะไรบ้าง ?

ตอบ   1. ติดต่อประสานงานกับผู้ใช้ระบบในหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งผู้บริหารทุกระดับที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงระยะเวลาในการพัฒนาระบบ

           2. รวบรวมข้อมูลของระบบเดิมเพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และนำไปใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบใหม่
           3. วางแผนในแต่ละขั้นตอนของงานให้สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน และวางแผนให้สอดคล้องกับการขยายตัวขององค์การในอนาคตด้วย

          4. ทำการออกแบบการทำงานของระบบใหม่ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ระบบ

          5. วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ

          6. วิเคราะห์ข้อกำหนดด้านฐานข้อมูล รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างฐานข้อมูลที่สามารถใช้กับงานต่าง ๆ ในระบบได้ และรองรับอนาคต

          7. ทำเอกสารประกอบในแต่ละขั้นตอนของการะ เคราะห์ระบบโดยละเอียด
          8. กำหนดลักษณะของเครือ ข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

          9. สร้างแบบจำลองของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น และร่วมกันทดสอบโปรแกรมที่พัฒนา

         10. ติดตั้งและทำการปรับเปลี่ยนระบบรวม ถึงการเตรียมแผนรองรับในการปรับเปลี่ยนระบบ
         11. จัดทำแบบสอบถามถึงการดำเนินงานของระบบใหม่ ที่ได้ติดตั้งไปแล้วในรูปแบบของรายงานผลการใช้งาน
         12. บำรุงรักษาและประเมินผลการปฏิบัติงานของระบบ เป็นการดูแลระบบเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น รวมทั้งเป็นการปรับปรุงดัดแปลง หรือแก้ไขทั้งโปรแกรมและขั้นตอนการทำงานของระบบ เพื่อให้มีการทำงานที่ถูกต้องมากที่สุด

         13. เป็นผู้ให้คำปรึกษา ผู้ประสานงาน และผู้แก้ปัญหา ให้แก่ผู้ใช้ระบบและทุกคนเกี่ยวข้องกับระบบ

4.  ทีมงานพัฒนาระบบสารสนเทศมีลักษณะอย่างไร ประกอบด้วยบุคคลใดบ้าง เพราะเหตุใดจึงต้องปฏิบัติงานร่วมกัน?

ตอบ   ทีมงานพัฒนาระบบ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ และมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนาระบบ ปกติการออกแบบและพัฒนาระบบสานสนเทศในองค์การขนาดใหญ่ จะต้องมีการทำงานร่วมกันของสมาชิกจากหลายส่วน โดยจัดรูปแบบการทำงานแบบโครงการ เนื่องจากกระบวนการปฏิบัติงานที่ซับซ้อน และขอบเขตงานหลายครอบคลุมไปหลายส่วนงาน

ประกอบไปด้วยบุคคลดังนี้

1.             คณะ กรรมการดำเนินงาน
2.             ผู้ จัดการระบบสารสนเทศ
3.             ผู้ จัดการโครงการ
4.             นัก เขีสยนโปรแกรม
5.             นัก วิเคราะห์ระบบ
6.             เจ้า หน้าที่รวบรวมข้อมูล
7.             ผู้ ใช้และผู้จัดการทั่วไป

5. วิธีพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศมีกี่วิธี อะไร

บ้าง ?

ตอบ  4 วิธีดังนี้

1.             วิธีเฉพาะเจาะจง
2.            วิธีสร้างฐานข้อมูล
3.             วิธีจากล่างขึ้นบน
4.             วิธีจากบนลงล่าง
6. การพัฒนาระบบสารสนเทศประกอบด้วยกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง?

ตอบ   5 ขั้นตอนดังนี้

1.             การ สำรวจเบื้องต้น
2.             การ วิเคราะห์ความต้องการ
3.             การ ออกแบบระบบ
4.             การ จัดหาอุปกรณ์ของระบบ
5.             การ ติดต่อระบบและการบำรุงรักษา

7.   ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นสำรวจเบื้องต้น?

ตอบ การวิเคราะห์และพัฒนาระบบ สารสนเทศ โดยผู้พัฒนาระบบจะสำรวจหาข้อมูลในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับระบบงาน ได้แก่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบที่ต้องการ เป็นต้น

8.  ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นวิเคราะห์ความต้องการ?

ตอบ   มุ่งเจาะลึกลงในรายละเอียดที่ มากกว่าในขั้นสำรวจเบื้องต้น โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ความต้องการของผู้ใช้  การใช้งานในแต่ละด้านของระบบ ใหม่ ข้อเด่นและข้อด้อยของวิธีการทำงานในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดทำรายงานสรุป เพื่อนำเสนอต่อฝ่ายจัดการสำหรับทำการตัดสินใจ

 9.  ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นออกแบบระบบ?

ตอบ    ทีม งานพัฒนาระบบจะต้องกำหนดส่วยประกอบของระบบทั้งในด้านของอุปกรณ์และชุดคำสั่ง ตลอดจนบริการต่าง ๆ ที่ต้องการจากผู้ขาย ปกติทีมงานพัฒนาระบบจะต้องทำการจัดหาสิ่งที่ต้องการ โดยเปิดให้มีการยื่นข้อเสนอ จากผู้ขายอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทีมพัฒนาระบบจะพิจารณาตัดสินข้อเสนอของผู้ขายแต่ละรายเพื่อนำอุปกรณ์และ ส่วนประกอบของระบบมาติดตั้งและพัฒนาเป็นระบบใหม่ต่อไป


 10.  ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นจัดหาอุปกรณ์ของระบบ?

ตอบ   ทีมงานพัฒนาระบบจะ ต้องกำหนดส่วนประกอบของระบบทั้งในด้านของอุปกรณ์และชุดคำสั่ง ตลอดจนบริการต่าง ๆ ที่ต้องการจากผู้ขาย ปกติทีมงานพัฒนาระบบต้องทำการจัดหามิ่งที่ต้องการ โดยเปิดให้มีการยื่นข้อเสนอจากผู้ขายอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทีมงานพัฒนาระบบจะพิจารณาตัดสินข้อเสนอของผู้ขายแต่ละรายเพื่อนำอุปกรณ์ และส่วนประกอบของระบบมาติดตั้งและพัฒนาเป็นระบบใหม่ต่อไป

 11.  ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นติดตั้งระบบและการบำรุงรักษา?

ตอบ   ทีมงานพัฒนาระบบจะ ควบคุมและดุแลการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบใหม่โดยดำเนินการด้วยตัวเองหรือจ้างผู้รับเหมา ทีมงานพัฒนาระบบต้องทดสอบการใช้งานว่า ระบบใหม่สามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์และรูปแบบที่ได้ทำการออกแบบ ไว้หรือไม่และการติดตั้งควรที่จะสำเร็จตามตารางที่กำหนด เพื่อให้ระบบสามารถใช้งานแทนที่ระบบเก่าได้ทันเวลา

 12.  รูปแบบของวงจรการพัฒนาระบบที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง?จงอธิบาย

ตอบ  4 รูปแบบ

1.   รูป แบบน้ำตก(Waterfll Model) วงจรการพัฒนาระบบแบบนี้ได้เผยแพร่ใช้งานในปี 1970 ค.ศ. เป็นรูปแบบที่มีมานาน และเป็นที่นิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

2.    รูป แบบวิวัฒนาการ(Evolutionary Model) วงจรการพัฒนาระบบในรูปแบบวิวัฒนาการมีแนวความคิดที่เกิดมาจากทฤษฎี วิวัฒนาการ โดยจะพัฒนาระบบจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในเวอร์ชัน แรกก่อน จากนั้นจึงพิจารณาข้อดีข้อเสียของระบบ หาข้อผิดพลาดโดยการทดสอบและการประเมินระบบ จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการพัฒนาระบบใหม่จนได้ระบบงานในเวอร์ชันที่ 2 เวอร์ชันที่ 3เวอร์ชันที่  4 และเวอร์ชันต่อ ๆ ไป จนกว่าจะได้ระบบที่สมบูรณ์ที่สุดแต่ต้องมีการวางแผนกำหนดจำนวนเวอร์ชัน ตั้งแต่เริ่มโตรงการพัฒนาระบบให้ชัดเจน

3.   รูป แบบค่อยเป็นค่อยไป(Incremental Model) วงจรการพัฒนาระบบในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปแบบ วิวัฒนาการ แต่มีข้อแตกต่างกันตรงที่ระบบที่ได้ในแต่ละช่วง  เนื่องจากระบบที่เกิดขึ้นในการพัฒนาขั้นแรกนั้นจะยังไม่ใช่ระบบที่ สมบูรณ์ แต่เป็นระบบส่วนแรกเท่านั้นจากระบบที่ต้องการทั้งหมด จนเมื่อมีการพัฒนาในขั้นที่ 2 จึงได้ระบบที่มีส่วน ที่ 2  เพิ่มเติมเข้าไป และจะมีการเพิ่มส่วนอื่นๆ เข้าไปจนครบทุกส่วน จนกลายเป็นระบบที่สมบูรณ์มากที่สุด เหมาะสมกับการพัฒนาระบบที่มีงานหลายส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน
4.  รูป แบบเกลียว (Spiral Model) วงจรการพัฒนาระบบในรูปแบบเกลียว จะมีลักษณะที่กระบวนหารวิเคราะห์ การออกแบบ และการพัฒนา จนวนกลับมาในแนวทางเดิมเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ระบบที่สมบูรณ์  การพัฒนาระบบงานด้วย วงจรการพัฒนาในรูปแบบนี้มีความยึดหยุ่นมากที่สุด  เนื่อง จากจากระบวนการทำงานใน 1 รอบ ไม่จะเป็นต้องได้ระบบ และระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนในเละรอบนั้นจะใช้เวลาเท่าไรก็ได้  ไม่จำเป็นต้องเท่ากันในทุก ๆ รอบ ถ้าหากไม่มีความจำเป็น บางขั้นตอนอาจจะถูกข้ามไปก็ได้


13.   การปรับเปลี่ยนระบบมีกี่วิธี อะไรบ้างจงอธิบาย

ตอบ   4  วิธี

1.    การปรับเปลี่ยนโดยตรง (Drrect Conversion) เป็นการแทนที่ระบบสารสนเทศเดิมด้วยระบบใหม่อย่างสมบูรณ์ โดยการหยุดใช้ระบบเก่าอย่างสิ้นเชิงและเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ในทันที  ซึ่งจะรวดเร็วและไม่ซับซ้อน วิธีการแบบนี้องค์การหรือมีข้อบกพร่อง ก็จะทำให้ผู้ใช้ไม่มีระบบใดมารองรับในการใช้งานแทนเลย
2.    การปรับเปลี่ยนแบบขนาน(Parallel Conversion) เป็นการดำเนินการโดยใช้งานทั้งระบบสารสนเทศเก่าและระบบใหม่ไปพร้อม ๆ กันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้เป็นหลักประกันความเสี่ยงว่า ถ้าระบบงานใหม่ยังไม่สมารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงแล้วก็ ยังมีระบบเก่าที่สามารถทำงานได้รองรับงานอยู่

3.   การปรับเปลี่ยนแบบเป็นระยะ(Phased Conversion) เป็นการปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศเก่าไปใช้ระบบสารสนเทศใหม่เฉพาะงานด้านหนึ่ง ก่อน เมื่องานด้านนั้นทำงานได้ประสบความสำเร็จแล้ว จึงขยายการปรับเปลี่ยนระบบออกไปในด้านอื่นอีก เช่น การเปลี่ยนใช้ระบบใหม่เฉพาะเรื่องการบริหารงานบุคคล เป็นต้น
4.  การปรับเปลี่ยนแบบนำร่อง(Pilot Conversion) เป็นการปรับเปลี่ยนไปใช้ระบบสารสนเทศใหม่อย่างเป็นขั้นตอนและค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ส่วนหนึ่งติดตั้งเสร็จ และใช้งานได้ดีแล้ว ก็จะขยายผลไปในส่วนต่อ ๆ ไป เช่น บางองค์การที่มีสำนักงานอยู่หลายสาขาหลังจากดำเนินการได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว ก็จะขยายใหม่ไปติดตั้งและใช้งานสาขาอื่นต่อไป เป็นตัน

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3

ข้อ1. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ตอบ     ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เขียนขึ้นมาใช้งานเองเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งในระบบปฏิบัติการจะไม่มีให้ใช้ต้องซื้อมาติดตั้งเองในภายหลังและระบบปฏิบัติการเองก็จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เป็นโปรแกรมต่าง ๆ มาใช้งานในปัจจุบันด้วยเช่นกัน


ข้อ2. ระบบปฏิบัติการโดยทั่วไปมีกี่ประเภท จงยกตัวอย่างประกอบ

ตอบ     3 ประเภท คือ
       1. ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-Alone OS) เช่น DOS Windows และ Mac OS X เป็นต้น
       2. ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) เช่น Windows Server Unix Linux OS/2 Warp Server และ Solaris เป็นต้น
       3. ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) เช่น Windows Mobile Palm OS และ Symbian OSเป็นต้น

ข้อ3. ระบบปฎิบัติการแบบฝัง (Embedded OS)คืออะไร นิยมใช้กับอุปกรณ์ประเภทใด จงอธิบาย

ตอบ      เป็นระบบปฏิบัติการที่พบเห็นได้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก เช่น พีดีเอหรือ Smart phone บางรุ่น สามารถช่วยในการทำงานของอุปกรณ์แบบไม่ประจำที่เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เกิดขึ้นมาหลังสุดพร้อม ๆ กับที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น บางระบบมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยวด้วย เช่น รองรับกับการทำงานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้


ข้อ4. โปรแกรมป้องกันไวรัสมีความสำคัญอย่างไรบ้าง

ตอบ     ปัจจุบันการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะใช้ในระบบเครือข่ายรวมถึงการดาวน์โหลดข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมักพบปัญหาคือมี ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามา ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์ของเรามีประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงหรือไม่สามารถทำงานต่าง ๆ ได้ ดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาโปรแกรมไว้ใช้แก้ปัญหาได้คือโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้กำจัดและป้องกันไวรัสนั่นเอง


ข้อ5. นายอภิชาติต้องการเก็บข้อมูลไฟล์หลาย ๆ ไฟล์เป็นอันเดียวกันและให้มีขนาดที่เล็กลงควรจะใช้โปรแกรมประเภทใด จงอธิบาย

ตอบ     โปรแกรมประเภทบีบอัดไฟล์ (File Compression Utility) เช่น PKZip หรือ WinZip เป็นต้น


ข้อ6. ซอฟต์แวร์กลุ่มการใช้งานด้านธุรกิจประเภท Word Processing ที่นักศึกษารู้จักมีอะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ อย่างน้อย 3 โปรแกรม

ตอบ     1. Microsoft Word  2. Microsoft Excel 3. Microsoft Powerpoint

 
ข้อ7. ซอฟต์แวร์แบบกลุ่ม (Software Suite) คืออะไร

ตอบ     เป็นซอฟต์แวร์ที่นำเอาคุณสมบัติต่าง ๆ ของโปรแกรมแต่ละตัวมาอยู่ในกลุ่มเดียวกันแล้วจำหน่ายรวมกันทีเดียว เช่น Microsoft Office ซึ่งนำทั้งโปรแกรมประมวลผลคำ การนำเสนองาน ตารางคำนวณ และอื่น ๆ มาจำหน่ายรวมไว้ด้วยกัน


ข้อ8. นางสาวศิริพรต้องการทำรายงานการรับจ่ายเงินในแต่ละวันอย่างง่าย ควรใช้โปรแกรมประเภทใด จงอธิบาย

ตอบ     โปรแกรม Microsoft Excel


ข้อ9.  Internet Ralay Chat คืออะไร แตกต่างจาก Instant Messaging อย่างไรบ้าง

ตอบ     Internet Ralay Chat เป็นโปรแกรมสนทนาเฉพาะกลุ่มที่เรียกสั้น ๆ ว่า แชท ซึ่งการติดต่อสื่อสารกันทำได้โดยการพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมา ผู้สนทนาสามารถให้คนอื่นเข้ามาร่วมพูดคุยกันได้เรียกว่า แชทรูม ซึ่งแตกต่างจาก Instant Messaging คือ จะติดต่อกันได้โดยผ่านเบอร์อีเมล์หรือหมายเลขที่ระบุ ซึ่งการพูดคุยนี้จะเป็นส่วนตัวมากขึ้น


ตอบ     เหมาะสมกับกลุ่มคนที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เพราะต้องใช้โปรแกรมประเภทการนำเสนองานเป็นสื่อในการใช้สอนนักศึกษา


ข้อ11. ในการเรียกดูข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตโปรแกรมใดที่นิยมเอาใช้มากที่สุดและมีคุณสมบัติเด่น ๆ อะไรบ้าง

ตอบ     Microsoft Internet Explorer ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลตามที่ต้องการได้รวดเร็ว การเปิดดูเว็บเพจต่าง ๆ ได้มากมายและสามารถแสดงผลได้หลายภาษา


ข้อ12. จงยกตัวอย่าง web application ที่นักศึกษารู้จักหรือใช้บริการอยู่ในปัจจุบันมา 3 รายการพร้อมอธิบายหลักการทำงานด้วย

ตอบ     1. www.google.com  2. www.facebook.com  3. www.youtube.com  


ข้อ13. ผู้ที่ทำงานด้านออกแบบและจัดการ website เช่น webmaster ควรเลือกใช้โปรแกรมอะไรบ้างเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนในการทำงาน จงอธิบาย

ตอบ    1. โปรแกรม Macromedia Flash    
            2. โปรแกรม Microsoft Visio Professional            
            3. โปรแกรม Adobe Photoshop


ข้อ14. ซอฟต์แวร์ประเภท Open Source คืออะไร

ตอบ     Open Source เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถปรับปรุงแก้ไขตัวโปแกรมต่าง ๆ ได้เอง ซึ่งผู้ใช้งานสามารถที่จะนำเอาโค้ดต่าง ๆ ไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ได้ตามความต้องการได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดหรือระบุไว้ของผู้ผลิตเดิม


ข้อ15. ภาษาระดับสูงมากหรือ very-high level language มีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง

ตอบ     หลักการทำงานของภาษาระดับสูงมากอาจใช้เพียงแค่การหยิบและวางปุ่มคำสั่งบางอันลงไป โดยที่ผู้เขียนโปรแกรมรู้เพียงแค่ว่าจะให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรบ้างเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทราบว่ามันจะทำได้อย่างไร เพราะจะเป็นหน้าที่ของภาษาระดับสูงมากนี้มาจัดการแทนเอง ซึ่งเป็นการเขียนโดยอาศัยหลักการแบบที่ไม่เป็นลำดับขั้นตอนที่แน่นอนนั่นเอง




ข้อ16. จงยกตัวอย่างของการนำเอาภาษาคอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 ไปใช้งานมาอย่างน้อย 2 ตัวอย่างพร้อมอธิบายประกอบ

ตอบ     ภาษาคอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 เป็นการใช้ภาษาที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์มากขึ้นหรือเรียกว่า ภาษาธรรมชาติ ซึ่งทำงานโดยอาศัยระบบฐานความรู้เพื่อช่วยแปลความหมายของคำสั่งต่าง ๆ และทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและจดจำโครงสร้างนั้นไว้ได้ ซึ่งนิยมนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับสาขาปัญญาประดิษฐ์ ตัวอย่างเช่น
1. การพัฒนาความรู้และการจำในหุ่นยนต์  2. การสั่งงานโปรแกรมด้วยเสียง เป็นต้น
ข้อ10. โปรแกรมประเภทการนำเสนองานเหมาะสมกับกลุ่มคนประเภทใด จงให้เหตุผลประกอบ